๙ กริยาบท
ธรรมดา คำนามทุกชนิด
ที่เป็นชื่อเรียกบุคคล สัตว์ สถานที่ วัตถุต่าง ๆ เป็นต้นนั้น ย่อมแสดงอาการต่าง ๆ
อยู่ตลอดเวลา เช่น คน ต้องมีการกิน, ดื่ม, ทำ, พูด คิด, ยืน, เดิน, นั่ง, นอน
และพักผ่อนร่างกาย. แม้สัตว์ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น. ฝ่ายสถานที่ และวัตถุต่าง ๆ
นั้นเล่า ก็ย่อมมีการแสดงอาการเหมือนกัน เช่น ตั้งอยู่, มีสภาพอย่างไร
ดังนี้เป็นต้น อาการเหล่านั้น เรียกว่า กิริยา.
ส่วนคำพูดที่แสดงกิริยาอาการเหล่านั้น ตามหลักไวยากรณ์เรียกว่า คำกริยา
หรือในที่นี้จะเรียกว่า กริยาบท เพราะคำกริยาที่สามารถนำไปใช้ในประโยคคำพูดได้นั้น
ต้องประกอบเป็นบทโดยการลงวิภัตติและปัจจัย. ก็อะไร คือ คำกริยา อะไรคือ วิภัตติ
และ ปัจจัย และมีการประกอบขึ้นใช้อย่างไรนั้น
พึงทราบเนื้อความไปตามลำดับดังต่อไปนี้
ก่อนอื่น พึงทราบว่า ลักษณะการประกอบบทหรือคำศัพท์ขึ้นใช้ในภาษาบาลีนั้น
มีลักษณะที่แตกต่างจากภาษาอื่น ๆ มีภาษาไทยเป็นต้น นั่นก็คือ
ต้องประกอบขึ้นด้วยส่วนต่าง ๆ อยู่มากมาย.
ดังที่ได้ศึกษาผ่านมาในเรื่องนามบทนั้น จะพบว่า นามบทๆ หนึ่ง นั้น
เมื่อสำเร็จรูปขึ้นเป็นบท จะมีรูปอย่างน้อยที่สุด ๑๖ รูป ๘ ความหมาย. ซึ่งในบรรดา
๑๖ รูป ๘ ความหมายนั้น มิใช่ว่า แต่ละรูปจะปรากฏขึ้นได้โดยตัวของตัวเอง
โดยที่แท้แล้ว ต้องมี นามศัพท์เดิม ที่มีลิงค์ และการันต์ต่าง ๆ
พร้อมทั้งต้องประกอบด้วยวิภัตติ ที่แสดงถึงความหมายและวจนะ
จึงจะปรากฏใช้ในประโยคต่าง ๆ ได้. แม้กริยาบท ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีส่วนต่าง ๆ
ประกอบกันเข้าเช่นเดียวกับนามบทนั้น และแต่ละส่วนนั้น
จะเป็นตัวชี้บอกถึงรูปแบบประโยคว่า จะเป็นไปในลักษณะใด ในบรรดาประโยค ๕ อย่าง
มีกัตตุวาจกเป็นต้นนั้นอีกด้วย.
กริยาบทโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ
โดยการใช้และส่วนประกอบดังนี้
๑. โดยลักษณะการใช้ มี ๒ อย่าง คือ
๑) อนุกริยา จัดเป็นกริยาย่อย
ไม่ใช่กริยาบทที่เป็นหลักของประโยค ใน ๑ ประโยคอาจมีกริยาแบบนี้มีอยู่หลายคำ
เพื่อแบ่งส่วนแห่งประโยคออกเป็นตอน ๆ และมีข้อความยังไม่สิ้นสุดลงที่กริยาบทนี้
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กริยาในระหว่าง (อัพภันตรกริยา).
๒) มุขยกริยา จัดเป็นกริยาหลักของประโยค
ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของแห่งบทประธานที่เป็นผู้กระทำกริยานั้น และใน ๑
ประโยคจะมีกริยาบทแบบนี้เพียงบทเดียวเท่านั้น เพื่อทำหน้าที่ควบคุมส่วนต่าง ๆ
ของประโยคเข้าให้ไปในทางเดียวกัน และกำหนดข้อความให้สิ้นสุดลงที่กริยาบทนี้
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กริยาคุมพากย์.
๒.
โดยส่วนประกอบ มี ๓ อย่าง คือ
๑) กริยาอาขยาต ได้แก่
บทกริยาที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบหลัก ๆ
๓ อย่าง คือ ธาตุ ปัจจัย วิภัตติฝ่ายกริยาอาขยาต
๒) กริยากิตก์ ได้แก่ บทกริยาที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบคล้าย
ๆ กับกริยาอาขยาตนั้นเอง คือ มีธาตุ ปัจจัยในกิตก์ และวิภัตติฝ่ายนาม
๓) อัพยยกริยา ได้แก่ บทอัพยยะ บางศัพท์เท่านั้น
ที่ไม่มีองค์ประกอบใด ๆ ร่วมด้วย คือ ตัวของศัพท์นั่นเองใช้เป็นกริยาได้ทันที
ได้แก่ นิบาตบท คือ สกฺกา, ลพฺภา, อลํ และที่มีองค์ประกอบอย่างอื่นร่วมด้วย
ได้แก่ กริยากิตก์นั่นเอง แต่มีลักษณะที่เป็นอัพยยะ.[1]
บรรดากริยาบท ๓ ประเภทนี้สามารถใช้เป็นกริยาคุมพากย์ได้
ใช้เป็นกริยาในระหว่างได้ โดยแบ่งออกตามความสัมพันธ์กันดังนี้
๑) กริยาอาขยาต ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ได้อย่างเดียว
๒) กริยากิตก์ ใช้เป็นกริยาในระหว่างได้
และเป็นกริยาคุมพากย์ได้
๓) อัพยยกริยา โดยเฉพาะ นิบาตบท มีสกฺกา เป็นต้น เท่านั้น
ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ได้อย่างเดียว
และในกริยาบท ๓ ประเภทนั้น ล้วนสำเร็จมาจากธาตุ
ที่จัดเป็นองค์ประกอบของกริยาอาขยาตทั้งนั้น ดังนั้น จึงควรศึกษาถึงกริยาอาขยาตเสียก่อน
เพื่อจะได้ทราบถึงการกำหนดประโยคคำพูดให้ได้และเป็นพื้นฐานสำหรับกริยาชนิดอื่น ๆ.
[1] อัพยยะ ได้แก่
ศัพท์ที่ไม่สามารถนำไปจำแนกโดยวิภัตติไม่ได้ มีรูปและเนื้อความอย่างไร
ก็ย่อมปรากฏอยู่อย่างนั้น แบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ อุปสัคคบท นิบาตบท
และปัจจยันตบท. ความโดยพิศดารจะปรากฏข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น